June 2, 2023
นาคนาคีนางอรอุมา

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนในดินแดนอาถรรพ์ของดงพญาไฟ อาตมาในเวลานั้นได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์แต่เพียงลำพังและการออกเดินธุดงค์ในครั้งนี้นี่เองมันจึงเป็นต้นเหตุให้อาตมานั้นต้องได้มาพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่มนุษย์อย่างเราเท่านั้น เรายังคงหาคำตอบกันไม่ได้ ท่ามกลางป่าอันรกทึบที่เต็มไปด้วยอันตรายจากสิงสาราสัตว์และอมนุษย์ อาตมานั้นยังคงออกเดินทางมาเรื่อย ๆ พร้อมกับทำกิจอันชอบอย่างเป็นเนืองนิจจนกระทั่งในช่วงสายของวันหนึ่ง อาตมานั้นก็ได้เดินทางเข้าสู่อำเภอแก่งคอยและเริ่มที่จะเดินตัดเส้นทางไปยังจังหวัดนครนายก และได้เดินทางเข้ามาสู่ปากแบบนี้แล้วอาตมานั้นกลับรู้สึกว่า ป่าแห่งนี้ล้วนแต่มีภูติผีปีศาจ และนางไม้ รวมไปถึงรุกขเทวดาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าอาตมานั้นจะต้องตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มากขึ้นตามลำดับ เพราะส่วนหนึ่งจะเดินเป็นเกราะกำบังไอ้สิ่งไม่ดีนั้นไม่สามารถเข้ามากล้ำกรายและทำอันตรายแก่อาตมาได้ แล้วเมื่ออาตมาได้เดินทางมาสักระยะแล้วสิ่งอัศจรรย์และอันตรายจากป่าแห่งนี้ก็เริ่มที่จะส่อแววเกิดขึ้นกับตัวของอาตมาอย่างช้า ช้า เพราะในช่วงเวลานั้นราวกับว่าอาตมานี้เองกำลังที่จะเดินหลงป่าหรือหลงทางเพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน อาตมาก็พบว่าตัวอาตมาเองกลับเดินวกกลับมาอยู่ที่เก่าตลอดเวลา ความรู้สึกในเวลานั้นมันราวกับว่ากำลังมีสิ่งลี้ลับบางสิ่งบางอย่างกำลังทำให้การเดินทางของอาตมานั้นต้องเดินทางช้าลงหรืออาจจะต้องการให้อาตมานั้นพักแรมอยู่ที่นี่ จนในที่สุดอาตมาจึงต้องจำใจหาที่ปักกรดค้างแรม เพราะในเวลานี้แสงของพระอาทิตย์ก็กำลังจะลาลับฟ้าไปจนเสียเต็มที่  และแล้วในเวลาไม่นานมากนักแสงของพระอาทิตย์ก็ได้ลาลับฟ้าไป พร้อมๆกับแสงของเงาจันทร์ที่เริ่มจะทอแสงลงมาแทนที่  พร้อมๆกับการทำกิจของสงฆ์ที่อาตมานั้นยังคงสวดมนต์นั่งสมาธิตามที่เคยได้ทำมาในทุกๆวัน ความเงียบวังเวงในป่าดงพญาไฟเริ่มที่จะเคลือบกินสิ่งต่างๆจนมันทำให้อาตมานั้นได้รับรู้ถึงความเงียบสงบของป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดีแต่ความเงียบงันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้มันก็เหมือนที่จะถูกแฝงด้วยอันตรายบางสิ่งบางอย่างอยู่เช่นกัน และอาตมาในเวลานั้นก็คงจะต้องได้แต่สวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาเพียงเท่านั้นเอง เวลาของรัตติกาลได้เดินทางผ่านไปอย่างช้า ช้า พร้อมๆกับความเงียบวังเวงของพงไพร ที่ยังคงปกคลุมบรรยากาศรอบ รอบไปทั่วบริเวณที่อาตมากำลังใช้พักแรม จนในที่สุดเวลาของการออกมาต้อนรับของแขกผู้มาเยือก็ได้มาถึงเพราะในเวลานี้หูของอาตมานั้นที่จะได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนตัวมาที่หน้ากรดของอาตมา  ซึ่งหากหูของอาตมาไม่ฝาดไปเสียงนั้น เสียงนั้นมันเป็นเสียงของเด็กที่กำลังวิ่งเล่นมาทางอาตมา และยังคงมีเสียงของกระดิ่งที่น่าจะติดอยู่ที่ข้อเท้าเสียงดังออกมาเสียด้วย เพียงไม่กี่อึดใจเสียงของการไอก็ดังขึ้นมาทดแทนพร้อมๆกับเสียงของเด็กที่เหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหวโดยกะทันหัน จนในที่สุดก็ได้เกิดเสียงของฝีเท้าจำนวนหลายคู่ที่กำลังเดินมาทางอาตมา และร่างของคนเหล่านั้นก็เริ่มที่จะมานั่งก้มกราบอยู่เบื้องหน้าของอาตมาด้วยความนอบน้อม จากสายตาที่อาตมาได้เห็นในเวลานี้นั้นกลับมีร่างของชายหญิงที่ค่อนข้างแก่ชราและยังคงมีเด็กนั่งแอบอยู่ด้านหลังและอาตมาในเวลานั้นก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนเหล่านี้นั้นจะต้องไม่ใช่มนุษย์โดยทั่วไปอย่างแน่นอน  พระกล่าว “มีอะไรหรือโยมถึงได้ออกมาหาอาตมาในเวลาดึกดื่น” เสียงของอาตมา ถามโยมสองท่านนั้นออก มา ด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายก่อนที่โยมฝ่ายชายจะเริ่มเอ่ยปากสนทนาออกมา เบาๆ  โยมผู้ชายกล่าว “กราบนมัสการพระคุณเจ้ากระผมต้องกราบขอขมาและขออภัยด้วยครับ กระผมเองเป็นคนที่ทำให้พระคุณเจ้าต้องมาพักแรมอยู่ที่นี่ขอรับ เนื่องจากกระผมมีเรื่องเดือดร้อนใจและอยากจะให้พระคุณเจ้าช่วยพวกกระผมด้วยขอรับ” ชายแก่คนนั้นเอ่ยปากบอกออกมา พร้อมๆกับเสียงสะอึกสะอื้น ร้องไห้ พระกล่าว “มีเรื่องอะไรหรือโยมอาตมาช่วยได้ก็จะช่วย” เสียงของอาตมาถามกลับไป  โยมผู้ชายกล่าว  “ลูกสาวของกระผมถูกจับตัวไปขอรับ รบกวนพระคุณเจ้าได้โปรดไปช่วยเธอที กระผมไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร จึงต้องมาขอให้ท่านช่วยด้วยขอรับ” เสียงของโยมชายแก่คนนั้นเอ่ยปากออกมาพร้อมๆกับอาตมาที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด จนได้อาตมาจึงได้เอ่ยปากรับคำตกลงที่จะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือตามที่ได้รับปากเอาไว้ แล้วหลังจากไม่นานร่างคนทั้งสามก็ได้เดินหายไปในความมืด ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นหนทางเดินสำหรับมนุษย์ได้แต่อย่างใด รุ่งอรุณของวันใหม่ได้เดินทางมายังช้าๆพร้อมๆกับอาตมาที่เริ่มจะเก็บข้าวของเพื่อที่จะออกเดินทางและเข้าไปช่วยเหลือในสิ่งที่ได้รับปากเอาไว้ หลังจากนั้นในเวลาไม่นานมากนักอาตมาเองก็ได้เดินทางเข้ามายังตัวของหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ริมเชิงเขาและเริ่มที่จะถามหาคนที่ถูกจับตัวมาในทันที ซึ่งโยมชาวบ้านหลายๆคนก็ต่างแสดงสีหน้าที่มึนงงพร้อมกับการตอบคำถามของอาตมาออกมา “โยมชาวบ้านกล่าว ไม่มีใครถูกจับตัวมาหรอกครับทีนี้ไม่มีคนหลงมาและถูกจับตัวมาหรอกครับ  หากพระคุณเจ้าไม่เชื่อผมจะพาไปบ้านผู้ใหญ่ก็แล้วกันครับ ผู้ใหญ่อาจจะพอให้คำตอบได้ขอรับ” เสียงของโยมท่านหนึ่งบอกอาตมาออกมาหลังจากนั้นไม่นานมากนักชาวบ้านคนหนึ่งก็ได้พาอาตมา  มาที่บ้านผู้ใหญ่พร้อมๆกับคำตอบที่อาตมานั้นได้เริ่มรับรู้ได้แล้วว่าคนที่อาตมาตามหานั้นอยู่ที่ไหน เพราะจากสายตาที่อาตมาได้เห็นในเวลานี้ที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่เองกับพบว่ามีกรงไม้ที่กำลังใส่งูที่มีตัวขนาดใหญ่อยู่หน้าบ้าน จนอาตมาเองเริ่มที่จะพอรับรู้เรื่องราวความเป็นมาได้แล้ว โยมผู้ใหญ่กล่าว   “นมัสการขอรับ” เสียงของผู้ใหญ่เอ่ยปากออกมาอย่างเป็นมิตรพร้อมๆกับการให้คำตอบแก่อาตมา  พระกล่าว “อาตมาเข้าใจผิดเอง  หากอาตมาจะขอบิณฑบาตชีวิตของงูตัวนี้ได้หรือไม่โยม” เสียงของอาตมาถามผู้ใหญ่ออกมาพร้อมๆกับการครุ่นคิดของตัวผู้ใหญ่ที่แกนั้นน่าจะเสียดายงูตัวนี้เพราะจากที่อาตมาได้รับรู้มานั้นโยมผู้ใหญ่เองก็ตั้งใจจะขายงูตัวนี้ให้กับพ่อค้าของป่าเช่นกัน  โยมผู้ใหญ่กล่าว “กระผมซื้อมาค่อนข้างแพงขอรับ และตกลงที่จะขายแล้วหากหลวงพี่อยากจะโปรดชีวิตของงูตัวนี้ กระผมก็ไม่ขัดข้องหรอกครับ” เสียงของตัวผู้ใหญ่เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างที่จะเสียดายพร้อมๆกับอาตมาที่ได้นำห่อผ้าออกมาจากย่ามแล้วยื่นส่งให้ตัวผู้ใหญ่     พระกล่าว  “เอาห่อผ้านี้ไปโยมมีคนฝากมาให้” เสียงของอาตมาบอกผู้ใหญ่ก่อนที่จะยื่นห่อผ้านั้นให้พร้อมๆกับตัวของผู้ใหญ่ที่แกะห่อผ้าออกจนตัวแกเองนั้นต้องตกตะลึง เพราะในห่อผ้านั้นมีทองคำอยู่หลายแท่ง จนแกนั้นต้องตกตะลึงและรับเก็บมันเข้ากระเป๋าในทันที พระกล่าว “ห่อผ้าห่อนั้นอาตมารับมาจากโยมชายแก่คนเมื่อคืนเป็นจำนวนสองห่อ ซึ่งอาตมานั้นก็ไม่สามารถทราบได้กว่ามีอะไรอยู่ด้านในก็รู้เพียงแต่โยมคนนั้นให้มาเพื่อที่จะเป็นการไถ่ตัวลูกสาวของเขาและอีกห่อก็ให้มาเพื่อเป็นการทำบุญ และเมื่อมาถึงเวลานี้อาตมานั้นก็ได้รับรู้แล้วว่าลูกสาวของโยมท่านนั้นก็คงจะเป็นงูตัวนี้ยังไม่มีผิดแน่นอน” ในที่สุดผู้ใหญ่ก็ทำตามคำร้องขอของอาตมาและได้นำงูตัวนั้นกลับมาปล่อยที่ป่าเช่นเดิม พร้อมๆกับอาตมาที่ได้ทำธุระเป็นที่เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางต่อไป แต่เรื่องราวของความอัศจรรย์ใจก็ยังคงไม่จบลงไปแต่เพียงเท่านั้นเพราะดูเหมือนว่าตลอดเวลาของการออกเดินทางมาจากหมู่บ้านอาตมากลับรู้สึกว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามหลังอาตมามาอย่างไม่ขาดสาย และต้นเหตุทั้งหมดก็คงจะไม่พ้นว่าน่าจะเป็นเพราะห่อผ้าที่น่าจะมีก็มีค่าอยู่ด้านในและหากอาตมายังคงมีห่อผ้านี้อยู่ในย่ามความทุกข์ใจก็อาจจะติดตามอาตมาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้นหากว่าเราปล่อยวางอะไรได้ก็ควรที่จะปล่อยวางเสีย ถือไว้ก็เป็นทุกข์เสียเปล่า ในที่สุดอาตมาจึงตัดสินใจที่จะนำห่อผ้าที่เหลือออกมาจากย่ามพร้อมๆกับการวางเอาไว้ข้างทางเพื่อจะได้ให้ความทุกข์ความโลภความห่วงนั้นจางหายไปตามอารมณ์   เพราะคนที่สะกดรอยตามมานั้น ก็น่าที่จะอยากได้สมบัติเหล่านี้เช่นกัน อาตมานั้นก็ถือว่าได้ให้ทานในส่วนนี้ไปแล้ว ส่วนคนที่จะได้ไปจะนำไปใช้ทางไหนก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคน หลังจากที่อาตมาได้เดินออกมาจากหมู่บ้านเป็นระยะที่ไกลมากแล้ว อาตมาก็รู้สึกว่าในเวลานี้คนที่คอยสะกดรอยตามก็เหมือนจะหายตัวไปและไม่มีวี่แววที่จะมีใครจะตามสะกดรอยอาตมามาอีกแล้ว เวลาในวันนี้ก็เหมือนที่หมดลงไปอีกวันพร้อมกับความอิ่มเอมใจของบุญกุศลที่อาตมาได้ทำลงไปในวันนี้มันจึงทำให้อาตมาไม่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการเดินทางเสียเท่าไหร่ เวลาของรัตติกาลได้เดินทางมาเยือนอาตมาอีกครั้งพร้อมๆกับแสงจันทร์ที่ทอแสงลงมาในวันพระใหญ่ท่ามกลางการนั่งวิปัสสนากรรมฐานในเวลาที่ค่อนข้างดึก ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่กำลังทอแสงลงมาอย่างสว่างไสวนวลตา เสียงของการเคลื่อนไหวบางอย่างก็ได้ดังขึ้น แต่เสียงๆนั้นมันกลับไม่เป็นการเคลื่อนไหวที่ปกติทั่วไป เพราะจากเสียงที่อาตมากำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้  มันกับเป็นเสียงการลากจูงอะไรบางอย่างกับพื้น และต้นตอของเสียงก็ดูเหมือนที่กำลังจะมาทางที่อาตมาพักแรมอยู่  จนในที่สุดเจ้าของต้นตอของเสียงก็เริ่มที่จะปรากฏร่างให้อาตมานั้นได้พบเห็น ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายและแสงจันทร์ที่กำลังส่งลงมายังสว่างไสวสายตาของอาตมาก็ได้พบเจ้าของต้นตอของเสียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นก็คือกลุ่มของชายหญิงที่แก่ชรารวมไปถึงเด็กที่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้นั้นจะมีแม่ของเขาติดตามมาด้วย เสียงของการสนทนาแรกได้เอ่ยขึ้นมาจากปากของผู้ที่เป็นแม่ของเด็กที่เธอนั้นผิวพรรณค่อนข้างขาวจนมันทำให้อาตมานั้นอดที่จะคิดไม่ได้ว่าสีกาท่านนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับงูที่ผู้ใหญ่ได้ปล่อยไปอย่างแน่นอน โยมสีกากล่าว “ดิฉันขอกราบขอบพระคุณ ที่หลวงพี่ได้โปรดบิณฑบาตช่วยชีวิตดิฉันเอาไว้ หากไม่ได้บุญบารมีของหลวงพี่ ดิฉันและครอบครัวก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ” เสียงของเธอเอ่ยปากว่าออกมาพร้อมกับการก้มกราบลงอย่างนอบน้อม พระกล่าว “ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาก็ทำตามหน้าที่ โชคดีแล้ว ที่ครั้งนี้ได้พ้นเคราะห์พ้นโศกมาได้ ขอให้โยมตั้งใจปฏิบัติธรรมสร้างบุญบารมี จะช่วยให้พวกโยมได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้นะ” เสียงของอาตมาเอ่ยออกมาพร้อมๆกับโยมสีกาท่านนั้นที่กำลังจะถวายสิ่งของบางอย่างให้จนทำให้อาตมานั้นรู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งเพราะของที่สีกาจะถวายนั้นมันก็คือห่อผ้าที่อาตมาเพิ่งวางทิ้งเอาไว้ จนอาตมาต้องเอ่ยปากบอกเชิงห้ามเพื่อเป็นการรักษาน้ำใจ พระกล่าว “อาตมารับไว้ไม่ได้หรอกโยม ข้าวของมีค่ามันเป็นสิ่งบาดตาบาดใจ อาตมาเดินทางไกลมันจะไม่ค่อยดี โยมเก็บเอาไว้เสียเถิด” เสียงของอาตมาพูดออกมาก่อนที่เธอนั้นจะเอ่ยปากบอกอะไรบางอย่างออกมาเช่นกัน “โยมสีกากล่าว ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ พวกอิฉันจะคอยคุ้มครองดูแลท่านเองตราบใดที่ท่านยังคงเดินทางอยู่ในป่าแห่งนี้ จะไม่มีอะไรมาทำร้ายท่านได้เจ้าค่ะ ขอเพียงแต่ท่านรับสิ่งของนี้ไว้ และนำไปทำนุบำรุงพระศาสนา พวกอิฉันก็จะได้ทานบารมีตรงนี้ด้วยเจ้าค่ะ ขอให้หลวงพี่รับเอาไว้เถิดเจ้าค่ะ”  เสียงของสีกาท่านนั้นบอกอาตมาอย่างนอบน้อม ก่อนที่อาตมาจะเก็บห่อผ้านั้นเข้าย่ามสะพาย และตั้งใจที่จะนำไปถวายพระอาจารย์ที่รออยู่เบื้องหน้าเพื่อให้ท่านนั้นได้นำทรัพย์สินนี้ไปบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป หลังจากการสนทนากันสิ้นสุดลง ครอบครัวนี้จึงเริ่มเดินหายไปในป่ารกทึบพร้อมๆกับการอนุโมทนาบุญจากอาตมา ซึ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาอาตมาก็เริ่มออกเดินทางต่อไปแล้วก็พบว่าตลอดเวลาที่อาตมาได้เดินอยู่ในป่าดงพญาไฟนั้นก็ไม่พบว่าจะมีอันตรายใดๆมากล้ำกรายแต่อย่างใด ในทางกลับกันการเดินธุดงค์ในครั้งนี้กลับพบว่าเป็นไปอย่างราบรื่น จนอาตมาสามารถออกมาจากป่าอาถรรพ์แห่งนี้และสามารถเดินทางมาถึงยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เมื่ออาตมาถึงยังจุดหมายปลายทางแล้วอาตมาจึงได้มอบห่อผ้านั้นให้กับพระอาจารย์เพื่อให้เป็นไปตามเจตนาของครอบครัวปริศนาในป่าดงพญาไฟที่ได้ตั้งใจจะทำบุญให้กับพระพุทธศาสนา และหลังจากนั้นมาไม่กี่ปีอาตมาก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆของครอบครัวนี้โดยผ่านอาสนมาธิที่เริ่มจะแก่กล้าขึ้น แท้จริงแล้วครอบครัวนี้ก็คือครอบครัวพญานาคที่กำลังบำเพ็ญเพียรในป่าดงพญาไฟเพื่อที่จะหาทางไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้ และโยมสีกาท่านนั้นก็มีชื่อว่านาคนาคีอรอุมา และหลังจากนั้นมาอีกหลายปีอาตมานั้นก็ยังคงเข้าไปปฎิบัติธรรมที่ป่าแห่งนี้อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ก็กลับไม่พบว่ามีครอบครัวนี้มาปรากฏตัวให้เห็นอีกแล้วพวกเขาทั้งหมดน่าจะได้ไปในภพภูมิที่สมควรไป