
สวัสดีครับผมต้องบอกเลยว่าความหลอนและความน่ากลัวเนี่ยไม่แพ้กันอย่างแน่นอนเพราะเรื่องราวของเรื่องที่มีชื่อเรื่องว่า “กลิ่นความตายหลังสึนามิ” เรื่องเล่าจากจ่าทหารเรือที่ประสบพบเจอกับคลื่นสึนามิในอดีตที่ผ่านมานั่นเองครับต้องน่าสนใจอย่างแน่นอน ผมต้องบอกว่าผมมาเกิดในยุคสึนามแล้วแต่ว่าตอนนั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ค่อยรู้ราวเท่าไหร่ จะบอกเลยว่าสำหรับเหตุการณ์สึนามิในประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใช้คำว่าน่ากลัวแล้วก็เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งที่น่าจะใหญ่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้นะครับ เรื่องเล่าของทหารเรือคนนี้ที่เขาบอกว่ากลิ่นความตายหลังสึนามินี้อย่างจะเป็นอย่างไร ***โปรดใช้วิจารณญาณ***
สวัสดีครับวันนี้ผมมีเรื่องราวที่อยากจะมาแชร์กัน เรื่องราวเรื่องนี้เกิดขึ้นราวๆเมื่อ 10 ปีก่อน หรือเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั่นเองครับ ขอบอกก่อนเลยนะครับว่าผมเคย ทหารเรือที่สังกัดอยู่ในกองบัญชาการ นาวิกโยธิน ตอนนั้นหลังจากฝึกเสร็จที่จังหวัดชลบุรี ฐานทัพใหญ่ของกองทัพเรือส่งผมมาประจำการที่ฐานทัพเรือที่พังงา ทหารหน้ามนคนชาวเหนือที่มาใช้ชีวิตอยู่ปักษ์ใต้นานจนคำพูดสำเนียงติดทองแดงไปเลย พูดเหนือปนปักษ์ใต้จนกลายเป็นคนที่พูดสำเนียงแปลกๆ ไปเลยล่ะครับ ผมเองช่วงนั้นก็ไม่มีแฟน หากถามว่าทำไมก็เพราะว่าไม่มีแฟนผมจึงได้สมัครทหารมารับใช้ชาติยังไงล่ะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลไม่ต้องคอยระแวงว่าแฟนจะแอบคบชู้ โชคดีที่ตัวผมเองนั้นไม่ใช่คนติดเที่ยวส่วนพวกเพื่อนๆพอตกดึกมืดค่ำก็จะออกไปเที่ยวผู้หญิงกันแล้ว สามแยกทางเข้าฐานทัพเป็นสถานที่กินตับของเหล่าทหารเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวผมนั้นเป็นคนขี้อายจะให้ไปแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าคนที่ไม่ใช่คนรักคงจะไม่ไหวครับ ช่วงนั้นเป็นเหตุการณ์หลังสึนามิผ่านไปได้ 3 ปี ผมได้ข่าวมาว่ามีคนตายเป็นเบือเลยในเหตุการณ์ครั้งนั้น ศพเต็มหาดบางศพไปเกลืออยู่บนต้นสน ทุกๆเย็นผมจะขอออกไปเตะบอล กับทหารหน่วยกองเรือ ที่นั่นจะมีท่าเรือของทหารเรือหน่วยเรือจะมีเรือรบหลายลำ พอผมไปเตะบอลเป็นประจำก็ได้รู้จักกับจ๋าหน่วยเรือคนนึง ขอไม่เปิดเผยชื่อแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้ขออนุญาตแกก่อนเอามาเล่า เดี๋ยวแกโทรมาด่าผมจะแย่เอา เหตุการณ์มีอยู่ว่าผมก็เตะบอลอยู่กับแกอยู่ ก็เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นสนิทกันมากขึ้น พอผมว่างแกก็จะชวนมาเตะบอลด้วยกันอยู่เรื่อยๆ แล้วแถวนั้นก็เป็นเขตฐานทัพ พวกสัตว์น้ำจะชุกชุมเยอะมากๆ วางลอกเอาไว้ตอนเช้าเพราะตกเย็นลงเก็บรอบขึ้นมาได้ปูสดๆ มากินทุกวันเลยล่ะครับ วิธีวางรอกจับปูก็คือแกจะเอาเนื้อปลาสดปลาดิบปลาใกล้เน่ามาเป็นเหยื่อล่อครับ ก็ใส่รอกดักปูเข้าไป แกบอกว่ากลิ่นของปลามันจะล่อให้ปูเข้ามากินและออกไปไม่ได้ครับ ช่วงเวลานั้นเราก็คุยกันไปอย่างเพลินสนุกสนานเลยล่ะครับ พอถึงเวลาเก็บรอกที่วางไว้หลายๆ อันเอาขึ้นมาแต่ละอันมีทั้งปูม้าปูดำสดๆ ทั้งนั้นเลยล่ะครับ แล้วจู่ๆ แกก็พูดขึ้นมาว่า
“ถ้าเป็นช่วงสึนามิไม่มีใครเขากล้ากินปูแถวนี้กันหรอก” ผมก็งงก็เลยถามกลับไปว่า
“ทำไมล่ะครับจ่า” จ๋าก็ตอบกลับมาทันทีว่า
“ขนาดเนื้อปลาที่เอามาเป็นเหยื่อบางชิ้นก็ใกล้เน่าปูยังมากินกันขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดว่าศพมันเน่าเต็มทะเลมันจะเป็นยังไงล่ะ” ตอนนั้นผมก็เอ๊ะขึ้นมาทันทีก็เลยถามจ๋าเขาไปว่า
“จ่าครับตอนสึนามิจ๋าได้อยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่าครับ” จ๋าก็ตอบขึ้นมาทันควัน
“กูนี่แหละที่ออกเก็บศพบริเวณนี้” ผมด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น ก็เลยถามแกไปอีกว่า
“วันนั้นเป็นยังไงครับผมเลยอยากรู้จริงๆ แล้ววันนั้นน่ะจ่ายรอดมาได้ยังไงครับ แล้วเห็นเขาบอกว่าแถวนี้ตายกันเยอะเลยด้วย” จ๋าก็ได้ตบมือเป็น 1 ฉาก “มาเดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟัง..”
วันนั้นจ๋าเขานั่งเก๊กท่าวังมาดเป็นรายจ่ายอยู่บนเรือ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือแจ้งล่วงหน้าใดๆ อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าเรือมันไหววูบๆ สักพักก็มีพลทหารที่เข้ายามคู่กันวิ่งมาหน้าตาแตกตื่นจากหัวเรือ เพราะเรือมันหันหน้าออกไปทางทะเล
จ่าครับจ่าๆๆ คลื่นสูงเทียบกับยอดไม้ กำลังเตรียมกุ้งมาทางนี้ครับ แต่มันช้าเกินไปแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว จะได้แต่บอกพลทหารคู่ยาม ให้หาที่กำบังแล้วเกาะไว้ให้แน่น เพราะคลื่นมันซัดเข้ามาที่ตัวเรือ เชือกที่ผูกไว้กับเรือพลุก็ขันเกลียวแน่น เสียงเชือกลั่นดังเปรี๊ยะๆ เรือโครงเครงไปโคลงเคลงมาอย่างแรง เรือที่เอาออกมาซึ่งเป็นเรือขนาดกลางพอมีคลื่นเข้ามากระแทกอย่างแรง สิ่งเดียวที่จะรักศึกษาชีวิตพวกเราได้นั่นก็คือ เชือกหัวเรือกลางเรือและท้ายเรือ ซึ่งที่เรือลำนี้มันไม่ได้เส้นใหญ่อะไรมากมาย ซึ่งถ้ามันขาดทุกอย่างจบเห่ ดูอย่างเรือใกล้ๆ อย่าง ต215 โดนกระชากหลุดจากท่า ลงไปในทะเล ขนาดเรือหลวงกระบุรี ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่ยังโดนคลื่นกระชาก จนเชือกขาดเลย แถมยังโดนคลื่นลากขึ้นไปอยู่บนเกาะบกอีก จากแกก็ได้ชี้ให้เห็นซากของต้นสนที่กองอยู่บริเวณนี้ แกบอกว่าตอนก่อนสึนามิมา ต้นสนพวกนี้ต้นใหญ่มากๆ ซากต้นสนพรุ่งนี้เคยยืนต้นอยู่เต็มบริเวณนี้ไปหมดเลย แต่พอคลื่นสึนามิซัด ต้นสนเหล่านี้จึงคลื่นโดนถอนรากถอนคนไปจนหมดจนเป็นแบบที่เห็น..